โครงการพัฒนาดอยตุง มหาวิทยาลัยที่มีชีวิต
17 มีนาคม 2012
การลองถูกลองผิดเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในโครงการพัฒนาดอยตุง เพราะนี่คือมหาวิทยาลัยที่มีชีวิต ที่ผู้ให้และผู้รับต่างเป็นผู้เรียนและผู้ถ่ายทอดให้กันและกันไปพร้อมๆ กัน จากเป้าหมายเพื่อปลูกป่าในใจคน ปลูกป่าปลูกคน ปลูกป่าไร้เพื่อน มาเป็นปลูกป่าแบบปลูกเสริม และปลูกป่าแบบไม่ปลูก นี่คือพัฒนาการของห้องทดลองที่มีชีวิต ที่ยกระดับคุณภาพชีวิตคนควบคู่ไปกับการฟื้นฟูและดูแลสิ่งแวดล้อม ที่นี่จึงมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายทั้งที่ล้มเหลวและยั่งยืน
24 ปีของการพัฒนาดอยตุง เพื่อปลูกป่า ปลูกคน ได้ทุ่มเททั้งทรัพยากรคน เม็ดเงินจำนวนมากมาย ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อทำให้มหาวิทยาลัยที่มีชีวิตแห่งนี้ เป็นมหาวิทยาลัยของคนเดินดินอย่างแท้จริงในปี 2560
ข่าวการถ่ายโอนโครงการพัฒนาดอยตุงไปสู่มือประชาชนที่อยู่ในโครงการพัฒนา ดอยตุง ยังไม่เป็นข่าวที่แพร่หลายนัก ส่วนจะถ่ายโอนให้ชุมชนในรูปแบบไหน อย่างไร ณ วันนี้ยังไม่มีคำตอบที่กระจ่างชัด แต่ทั้งหมดได้มีการเตรียมการไว้แล้ว
โครงการพัฒนาดอยตุง มีระยะดำเนินโครงการ 30 ปี ตั้งแต่ปี 2531-2560 ทางมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงเตรียมพร้อมที่จะถอนตัวออกจากพื้นที่ในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อเปลี่ยนบทบาทและหน้าที่มาเป็นตัวเชื่อมระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และชุมชน หลังจากที่โครงการดอยตุงลดบทบาทลง
“ผมวางโครงการไว้ 30 ปี คิดว่าถ้าเราจะเป็นตัวอย่างของโลกได้ เราต้องออกจากที่นี่อย่างสง่าผ่าเผย และคนที่นี่ต้องสามารถดูแลตัวเองต่อไปได้โดยไม่มีเรา นั่นคือความยั่งยืน เป็นความคิดตั้งแต่วันแรกที่ทำ ไม่มีงานไหนไม่มีเลิกรา ตั้งเป้าไว้อย่างนี้” ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิสกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง กล่าวไว้ตอนหนึ่งในการให้สัมภาษณ์ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ซึ่งตีพิมพ์ในนิตยสารการเงินธนาคาร
ขณะที่ ม.ล.ดิศปนัดดา ดิศกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายพัฒนา มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ไปดูงานโครงการพัฒนาดอยตุงเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ว่า “โครงการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ได้รับมอบหมายให้มาดำเนินการพัฒนาในพื้นที่นี้ 30 ปี และในปี 2560 กรอบนี้จะหมดไป ทางทีมงานเตรียมงานและพยายามทำให้เกิดการถ่ายโอนกิจกรรม บางอย่างเราต้องถ่ายโอน บางอย่างอาจจะเก็บไว้ให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไปบริหารต่อ หรือมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงดูแลต่อไป”
“อะไรที่เป็นแบรนด์ดอยตุง มูลนิธิฯ จะให้ชุมชนในโครงการพัฒนาดอยตุงมาถือหุ้นในธุรกิจ เราถือว่า การพัฒนาที่ดี ผู้พัฒนาต้องตกงาน และการถ่ายโอนมีหลายรูปแบบ มันเป็นความท้าทาย ส่วนจะถ่ายโอนระดับไหน แค่ไหน แบบไหน เพื่อให้เขาดูแลตัวเขาต่อไป ทางมูลนิธิฯ ได้ศึกษาไว้หลายแบบ ซึ่งยังไม่มีข้อสรุป”
การถ่ายโอนต้องดูว่าจะถ่ายโอนให้แค่ไหน พนักงานที่อยู่กันมานาน 20-30 ปี จะทำอย่างไร ดังนั้น กลุ่มคนทั้งพนักงาน ชุมชนซึ่งเป็นเกษตรกร ต่างมีสิทธิเป็นเจ้าของแบรนด์ดอยตุง เมื่อถึงเวลานั้นผู้ถือหุ้นคือชุมชน แม้มีบางเรื่องที่ยังเป็นห่วง อาทิ เรื่องการตลาด อาจจะให้มูลนิธิฯ ดูแลไปก่อน
ม.ล.ดิศปนัดดาเล่าถึงความพร้อมไม่พร้อมของประชาชนในพื้นที่ว่า “บางส่วนพร้อม บางส่วนไม่พร้อม ต้องทำความเข้าใจ เพราะการถ่ายโอนมีปัจจัยเชื่อมโยงหลายตัวมาก ชาวบ้านต้องเข้าใจว่ากำลังทำอะไร และผมเชื่อว่าชาวบ้านเข้าใจดี เราเคยพูดกันว่าถ้าโครงการนี้ไม่อยู่แล้วชาวบ้านจะทำอะไรต่อ ป่าจะหมดไหม ชาวบ้านจะทำอาชีพอะไร เขามั่นใจการปกครองขององค์กรปกครองท้องถิ่นแค่ไหน ซึ่งเขาตอบได้เลยว่าเขาพร้อม เขาดูแลตัวเขาเองได้”
ตัวอย่างของการปกครองตนเองของชุมชนที่นี่ อย่าง อบต. เขาบริหารจัดการในสิ่งที่ชุมชนต้องการอย่างแท้จริง เพราะ อบต. ส่วนใหญ่เป็นนักพัฒนาของโครงการดอยตุงทั้งสิ้น เขาบริหารโดยเอา “คน” เป็นตัวตั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของความเข้มแข็งของชุมชน
หรือการบริหารจัดการเรื่องไฟป่า ที่ปางมะหัน ที่ปูนะ เขามีกฎชัดเจนในการดูแลและจัดการ เขาใช้กฎชุมชนในการปกครองกันเอง ซึ่งมันสำคัญกว่ากฎหมายอีก เช่น พื้นที่ใดที่ปล่อยให้เกิดไฟไหม้ป่า จะถูกปรับ (ลงโทษ) อย่างไร พื้นที่ไหนที่มีการเสพยา ค้ายา จะถูกลงโทษอย่างไร อาทิ พื้นที่จะถูกยึดมาเป็นส่วนกลาง สามารถนำมาเป็นที่สาธารณประโยชน์ของหมู่บ้านได้ นี่เป็นตัวอย่างที่ผมเห็น
โครงการพัฒนาดอยตุง เป็นพื้นที่ทรงงานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ มีพื้นที่ทั้งหมด 93,515 ไร่ ติดชายแดนพม่า มีหมู่บ้านในพื้นที่โครงการ 29 หมู่บ้าน เป็นชาวไทยภูเขาและชนกลุ่มน้อย 6 เผ่า มีจำนวน 11,000 คน
สภาพดอยตุงเมื่อปี 2531 อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นพื้นที่ทุรกันดาร เป็นป่าเสื่อมโทรม ไม่มีถนน ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟฟ้า ชาวบ้านเลี้ยงชีพด้วยการทำไร่เลื่อนลอย ปลูกข้าวโพด ซึ่งพอกินแค่ 6 เดือน และยังมีฝิ่น มีการค้าอาวุธสงคราม กองกำลังชนกลุ่มน้อย และการค้ามนุษย์
การพัฒนาเกิดขึ้นจากความเชื่อของสมเด็จย่า “ไม่มีใครเกิดมาเป็นคนไม่ดี แต่ที่เขาไม่ดีเพราะขาดโอกาสและทางเลือก”
โครงการพัฒนาดอยตุงจึงได้กลายมาเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชีวิตเพื่อแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน
จากแนวคิดที่จะให้คนกับป่าอยู่ร่วมกันได้ “ป่าเศรษฐกิจ” จึงเป็นนวัตกรรมสร้างเสริมที่สำคัญ เปิดโอกาสให้ชาวบ้านในพื้นที่รอยต่อป่าสงวนแห่งชาติ หรือแม้จะเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ชาวบ้านเข้าไปทำกินแล้วก็ตาม หากไม่ต้องการให้คนรุกป่า ทำลายป่า โดยที่เขาไม่มีที่ทำกิน แล้วเขาจะทำอะไรต่อไป ความคิดเรื่องป่าเศรษฐกิจจึงได้เกิดขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์ให้ชาวบ้านและป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้
โครงการปลูกกาแฟใต้ต้นแมคคาเดเมีย การปลูกชาน้ำมัน การปลูกไม้ดอกไม้ประดับ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพันธุ์ไม้ โครงการทอผ้า ทอพรม โรงงานกระดาษสา โรงงานเซรามิก จึงเกิดขึ้นเพื่อให้ชาวบ้านมีรายได้
แต่ละโครงการมีการพัฒนาจนได้รูปแบบที่มีความยั่งยืน อาทิ กรณีการปลูกกาแฟ จากเดิมเป็นการจ้างชาวบ้านปลูกจ้างดูแลโดยบริษัท นวุติ ซึ่งเป็นบริษัทในโครงการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง แต่ผลผลิตไม่ได้ตามเป้าหมาย ได้ปรับเปลี่ยนวิธีใหม่ให้เกษตรกรเช่าต้นกาแฟที่เขาเคยปลูกเคยดูแลครอบครัว ละ 10 ไร่ เช่าต้นละ 1 บาท โดยชาวบ้านจ่าย 50 สตางค์ บริษัทนวุติจ่ายให้ 50 สตางค์ ผลผลิตที่ออกมาเป็นของของเกษตรกรผู้เช่า ปรากฏว่าผลผลิตได้เกินเป้าหมาย เมื่อให้เกษตรกรเขามีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของไร่กาแฟ แม้จะในรูปแบบการเช่าก็ตาม
การสร้างงานและรายได้เป็นการส่งเสริมสิ่งที่ชาวบ้านถนัด ภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับการทำธุรกิจ เพื่อยกระดับมูลค่าเพิ่มในผลผลิตที่เขาทำ
นี่คือการลงทุนลงแรงโดยมีเป้าหมายเพื่อให้เป็นโครงการพัฒนาทางเลือกในการ ดำรงชีวิตที่ยั่งยืน ในรายได้จากธุรกิจเพื่อสังคมจากโครงการพัฒนาดอยตุง สามารถเลี้ยงตัวเองได้ในปี 2544
อย่างไรก็ตาม องค์ความรู้จากโครงการพระราชดำริที่ได้ทรงงาน โครงการของพระองค์ท่านมีหลายมิติ พลังงานทางเลือก น้ำ ป่าไม้ เกษตร สิ่งแวดล้อม ดิน 6 มิตินี้ เป็นปัญหาของโลกในปัจจุบันที่ประสบอยู่ น้ำใกล้หมด น้ำปนเปื้อน ดินเสื่อมสภาพ ป่าเสื่อมโทรมลง และปัญหาโลกร้อน
ม.ล.ดิศปนัดดากล่าวว่า “เราก็สกัดๆ องค์ความรู้ อาทิ อะไรเป็นปัจจัยรวมที่ทำให้เกิดขบวนการขับเคลื่อน นวัตกรรมในการพัฒนา มีกระบวนการขั้นตอนอะไรบ้างกว่าจะออกมาเป็นโครงการพัฒนาดอยตุง ทั้งที่ปางมะหัน ปูนะ หรือที่จังหวัดน่าน จังหวัดอุดรธานี หรือประเทศอัฟกานิสถาน ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศพม่า มาประยุกต์ไว้เป็นตำรา เพื่อให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ และจะได้นำแก้ปัญหาที่เราประสบในโลกปัจจุบันนี้ต่อไป”
ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยที่มีชีวิตแห่งนี้เปิดให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ โดยให้ผู้เข้ามาอบรมเรียนรู้จากผู้ให้ความรู้ คือ ชาวบ้าน ชุมชน ปราชญ์ ผู้นำชุมชน ขณะเดียวกัน ปราชญ์ชาวบ้านเหล่านี้ก็ได้เรียนรู้มุมมองความคิดจากผู้เข้ามาอบรม นั่นคือขบวนการเรียนรู้ที่ทั้งผู้รับและผู้ให้เรียนรู้ไปด้วยกัน ผู้รับก็จะกลายเป็นผู้ให้ ผู้ให้ก็จะกลายเป็นผู้รับ
การพัฒนาดอยตุงในทุกโครงการต่างมีการลองผิดลองถูกมาแล้วทั้งสิ้น อย่างการปลูกป่าสนในช่วงแรก ซึ่งเรียกว่าป่าไร้เพื่อน ต่อมาจึงได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นปลูกป่าปลูกเสริม คือการดูแลพื้นที่ป่าที่มีอยู่แล้ว และไปปลูกเสริมพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมกับระบบนิเวศของพื้นที่และที่เป็น ประโยชน์กับท้องถิ่น เสริมลงไปในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม เพื่อคืนความหลากหลายทางชีวภาพและความสมบูรณ์ให้ระบบนิเวศของธรรมชาติ
จากนั้นก็มาเป็นการปลูกป่าแบบไม่ปลูก คือการดูแลป่าที่มีอยู่แล้วไม่ให้ถูกทำลาย และไม่ทำลายระบบนิเวศของป่า ช่วยกันดูแลในเรื่องไฟป่า ไม่บุกรุกทำลาย เป็นต้น
ในประเด็นนี้ “ดร.กาญจนา นิตยะ” นักวิทยาศาสตร์ชำนาญการพิเศษ สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และอดีตหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าและพันธุ์พืชภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ เคยเล่าให้สำนักข่าวไทยพับลิก้าว่า การปลูกป่า ปลูกอย่างไรก็ไม่สามารถปลูกทดแทนป่าที่มันเสียไป ดังนั้นควรทุ่มเทกำลังและงบประมาณบางส่วนไปดูแล ไม่ต้องรอให้ป่าเสื่อมโทรมแล้วค่อยปลูก เพราะเวลาป่าหายไป มันทดแทนกันไม่ได้ และทดแทนอย่างไรไม่เหมือนเดิม หรือจะเหมือนเดิมก็ใช้เวลานานมาก
เมื่อป่าถูกทำลาย เกิดการสูญเสียพื้นที่ สิ่งที่ตามมาคือชนิดพันธุ์ต้องเปลี่ยนแปลง บางอย่างหายไป บางอย่างเข้ามาใหม่ แต่สิ่งที่มาใหม่เทียบไม่ได้กับของที่มันหายไป จะต้องอาศัยลม และต้องอาศัยสัตว์อื่นในการช่วยพัดพาเมล็ดไม้ แต่อย่างน้อย ตรงพื้นที่นั้นจะต้องมีชนิดพันธุ์อยู่ก่อนแล้ว และต้องหามาเสริมด้วย
ดังนั้น เมื่อป่าถูกบุกรุกและถูกดึงตัวใดตัวหนึ่งของระบบนิเวศออกมา การสืบพันธุ์ การทดแทน จะถูกขัดจังหวะ ดังนั้น ถ้าสิ่งหนึ่งถูกทำลาย ระบบนิเวศบางอย่างก็จะขาดไป (อ่านเพิ่มเติม “ดร.กาญจนา นิตยะ” นักอนุรักษ์ในเครื่องแบบข้าราชการ ปกป้องผืนป่าด้วยสองมือ )
ม.ล.ดิศปนัดดากล่าวต่อว่า มหาวิทยาลัยที่มีชีวิตแห่งนี้ ให้ผู้ที่เข้ามาอบรมต้องมีภาคปฏิบัติ ให้สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ เช่น เดินสำรวจป่า เดินขึ้นเขาไปเจอชาวเขา ระหว่างทางเดินก็ปูพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับป่า ตรงนี้เป็นอย่างไร ต้นไม้เดิมในพื้นที่คืออะไร สัตว์เป็นอย่างไร กิจกรรมที่โครงการดอยตุงเข้ามาเสริมให้ชาวบ้านมีรายได้ที่ดีขึ้นมีอะไรบ้าง กิจกรรมที่ให้คนและป่าอยู่ด้วยกันได้มีอะไรบ้าง
“เราไม่ต้องการให้ผู้เข้ามาอบรมดูงานได้เรียนรู้แค่สไลด์แห้งหรือ พาวเวอร์พอยท์ที่เราให้ดู แต่เรียนรู้จากการเดินจริงสัมผัสจริงด้วย ขบวนการนี้สำคัญ เพราะขบวนการเข้าใจ ถ้านั่งอยู่ในห้องเฉยๆ ไม่เข้าใจ ต้องออกไปดูจริง เพื่อได้เข้าใจรับรู้สภาพที่เป็นจริง รับรู้ชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่ของเขา ไม่ใช่เอาเขามาหาเรา”
ในตอนต่อไป จะเล่าถึงขบวนการเก็บสถิติข้อมูล ที่ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในโครงการพัฒนาดอยตุง พัฒนาจนมาเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชีวิตที่ตอบโจทย์ความต้องการของชุมชน
...............................................................................................................................................................
30 มีนาคม 2012
ปี 2560 โครงการพัฒนาดอยตุงจะครบ 30 ปี แม้วันนั้นยังมาไม่ถึง แต่วันนี้โครงการพัฒนาดอยตุง ได้ “ลงจากดอยแล้ว” เพื่อก้าวเดินในเส้นทางการพัฒนาต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเขาให้เขาช่วยตัวเอง หรือช่วยเขาเพื่อช่วยเราก็ตาม โดยยังคงยึดหลักการแก้ปัญหาปากท้องและการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนโครงการการพัฒนาดอยตุงตามพระราชดำริของสมเด็จย่า ตั้งกรอบการพัฒนาว่า 30 ปี ต้องการช่วยเขาให้เขาช่วยตัวเองได้ จะต้องถ่ายโอนกิจการในโครงการพัฒนาดอยตุงให้สมาชิกได้มีส่วนร่วม จะเป็นรูปแบบไหน อย่างไร ได้ศึกษาเตรียมไว้พร้อมแล้ว
ดีเอ็นเอของโครงการพัฒนาดอยตุงคือการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งได้แสดงศักยภาพนั้นให้เห็นแล้วว่า การปลูกคน ปลูกป่า ให้คนกับป่าอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืนได้ ท้ายที่สุดแล้วคนไม่ทำลายป่า และป่าก็จะไม่ทำลายคน พร้อมวิถีชีวิตที่เรียบง่าย วิถีแห่งความพอเพียง ในโลกของการคืนสู่สามัญที่ควรจะทำมานานแล้ว
วิถีที่ชุมชนดูแลกันเองด้วยกฎของชุมชนที่เข้มแข็ง วันนี้เขายืนหยัดได้ด้วยตัวของเขาเองแล้ว แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ นับเป็นการเดินทางหลายลี้ที่ทุรกันดารและทรหด กว่าจะเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ รวมกลุ่มเป็นพลังชุมชนที่เข้มแข็งดังที่ปรากฏในวันนี้ได้
ดังนั้นคำถามที่ว่า “ชุมชน” โครงการพัฒนาดอยตุงอยู่ในภาวะ “ช่วยเขา แล้วเขาแข็งแรงหรือยัง” ซึ่งมีตัวชีวัดที่ชัดเจน
จากฐานข้อมูลของดอยตุง ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่สะท้อนจุดแข็งของโครงการดอยตุง และบ่งชี้ถึงความสำเร็จได้เป็นอย่างดี คือ”ฐานข้อมูล” ที่จัดเก็บอย่างละเอียดในทุกๆ ด้าน สามารถหยิบมาใช้เพื่อการวิเคราะห์ได้ในทุกๆ เรื่อง ฐานข้อมูลจึงเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้โครงการดอยตุงพัฒนาได้ อย่างต่อเนื่อง มีกรอบและเป้าหมาย โดยมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน
นายสุภาพ ภิระบรรณ เจ้าหน้าที่ส่วนพัฒนาสังคม โครงการพัฒนาดอยตุง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้เล่าถึงขบวนการเก็บข้อมูลสถิติต่างๆ ว่า ทุกๆ ปี ส่วนงานสำรวจข้อมูลประจำปีต้องทำการจัดเก็บอย่างสม่ำเสมอ โดยเก็บข้อมูลประชากรในโครงการพัฒนาดอยตุงทุกครัวเรือนแบบ 100% ซึ่งขบวนการจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้ ได้ดำเนินการตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงปัจจุบัน เพื่อนำข้อมูลมาติดตามการพัฒนาโครงการ และใช้ในการวางแผนพัฒนาโครงการ
ข้อมูลที่จัดเก็บประกอบด้วย ข้อมูลประชากร รายได้ เศรษฐกิจ อาชีพ การศึกษา หนี้สิน เงินออม รายละเอียดการทำเกษตรของสมาชิกโครงการ เป็นต้น ส่วนข้อมูลเสริมในด้านสังคม อาทิ การทำกิจกรรมในหมู่บ้าน ประเพณี ศาสนา วัฒนธรรม รวมทั้งการซักถามความเห็น ความพึงพอใจของโครงการของสมาชิกโครงการ ซึ่งการสำรวจจะทำกันในช่วงมีนาคม–พฤษภาคม เป็นช่วงที่ประชาชนที่ไปทำงานนอกพื้นที่เดินทางกลับมาบ้าน
ข้อมูลที่จัดเก็บได้เอามาประเมินผล วิเคราะห์ ว่าจุดอ่อนอยู่ตรงไหน เช่น สมมติยังมีราษฎรในหมู่บ้านที่มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ 30,000 บาทต่อคนต่อปี (ของกรมพัฒนาชุมชน กำหนดไว้ที่ 23,000 บาทต่อคนต่อปี) ดังนั้น ถ้ารายได้เขาต่ำกว่า 23,000 – 30,000 บาท เราจะเข้าไปดูแล ว่าจะไปส่งเสริมอาชีพอะไรเพิ่ม เช่น เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ หรือปลูกพืชอื่นเสริมไหม
โครงการพัฒนาดอยตุงนำข้อมูลมาประมวลผลเพื่อเป็นตัวชี้วัดในการวิเคราะห์ ว่า แผนงานที่เราส่งเสริมไปทำได้ตามเป้าหรือไม่ หรือเจอปัญหาอะไรบ้าง และจะแก้ปัญหาอย่างไร จะไปเสริมส่วนไหน ขณะเดียวกันก็นำมาวางแผนพัฒนาโครงการต่อไป
นอกจากนี้ เรายังคืนข้อมูลให้หมู่บ้านไปใช้ในการเขียนโครงการ เพราะเขาให้ข้อมูลเรามา เราก็คืนข้อมูลให้เขาไป
ข้อมูลทั้งหมดทำเป็นลักษณะศูนย์ข้อมูลสังคม มีหน้าที่บริการดูแลข้อมูลให้หน่วยงานต่างๆ ข้อมูลที่ได้ไม่ว่าจะเป็นในส่วนเยาวชน ผู้ด้อยโอกาส สาธารณสุข การใช้น้ำ ส้วม ถ้ามีปัญหาเรื่องอะไรเราก็สามารถแชร์ข้อมูลกับสาธารณสุขได้ด้วย หรือการแชร์ข้อมูลกับกรมพัฒนาชุมชน อำเภอ เกษตรอำเภอ เช่น หากเขาต้องการข้อมูลไปเปรียบเทียบว่า หมู่บ้านนี้มีกี่บ้านที่ทำการเกษตร เราก็มีข้อมูลให้ มาแลกเปลี่ยนทำการส่งเสริมเรื่องพืชเรื่องอะไรร่วมกัน เป็นต้น
“ข้อมูลที่เราจัดเก็บ เราประสานกับหน่วยงานที่ทำงานในพื้นที่ ไม่ว่าอำเภอ อบต. มาแชร์ข้อมูลกัน เพื่อนำไปใช้วางแผนและพัฒนาในพื้นที่”
เจ้าหน้าที่เคยลงพื้นที่เก็บข้อมูลเล่าว่าวิธีการเก็บข้อมูล ในช่วงแรกๆ ใช้เจ้าหน้าที่โครงการ แต่ช่วงหลังๆ ใช้อาสาสมัครในหมู่บ้าน เพราะเป็นการส่งเสริมให้เขาช่วยตัวเองด้วย และคนในหมู่บ้านจะรู้ข้อมูลพื้นฐานคนในหมู่บ้านดีที่สุด รวมทั้งการสื่อสารด้วยภาษาของเขา เพราะคนเฒ่าคนแก่พูดภาษาไทยไม่ได้ ต้องพูดภาษาชนเผ่า ผลจากการใช้อาสาสมัครทำให้การเก็บข้อมูลใกล้เคียงกับข้อเท็จจริงมากสุด โดยก่อนจะเก็บ เราต้องซักซ้อมกับน้องๆ ที่มาเป็นอาสาสมัคร และเมื่อเก็บมาแล้ว มีเจ้าหน้าที่มาตรวจ หากผิดก็ให้กลับไปแก้อีก
“การใช้อาสาสมัครมีข้อดีคือ ลดปัญหาคนแปลกหน้า เดิมทีชาวบ้านไม่ไว้ใจคนข้างนอกเลย ประมาณว่าถ้าเจ้าหน้าที่เข้าหน้าบ้าน ชาวบ้านออกหลังบ้าน แรกๆ ไม่มีความไว้ใจเลย กลัวเจ้าหน้าที่ เคยมีชาวบ้านถามว่าสำรวจข้อมูลเอาไปทำอะไร เราต้องชี้แจงอธิบายเหตุผลเขาได้ ว่าเราจะนำข้อมูลมาให้เขา มาช่วยเหลือเขาอย่างไร เขาจึงจะยอมให้ข้อมูลเรา”
โครงการฯ เก็บข้อมูลทุกอย่างเพื่อเอาไปวัดผล เช่น ฐานะครอบครัว จากเดิมไม่มีอะไร เดี๋ยวนี้มีมอเตอร์ไซค์ มีรถยนต์ มีทีวี มีทุกอย่างแล้ว เราก็หวังว่าในอนาคต เมื่อโครงการพัฒนาดอยตุงหมดระยะลงในปี 2560 ชาวบ้านในหมู่บ้านต้องเก็บกันเอง เพื่อจะได้รู้ข้อมูล เพราะการถ่ายโอนการบริหารจัดการไปอยู่ที่ อบต. หรือท้องถิ่น ดังนั้นเขาต้องร่วมกันดูแลหมู่บ้าน
นอกจากนี้โครงการพัฒนาดอยตุงกับ อบต. ได้ฝึกอบรมเด็กๆ ในหมู่บ้านช่วงปิดเทอมให้มาทำกิจกรรมร่วมกัน โดยทาง อบต. โครงการดอยตุง โรงเรียน มาร่วมกันเพื่อพัฒนาให้กลุ่มเยาวชนเข้มแข็งขึ้น เพราะอย่างน้อยในช่วงปิดเทอมมาพบกัน มาทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น เรื่องการอนุรักษ์ป่า การเรียนรู้อะไรพัฒนาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโครงการดอยตุง ซึ่งกิจกรรมส่วนใหญ่เน้นเรื่องพวกนี้ เนื่องจากขบวนการเหล่านี้เป็นการเน้นการสร้างคน เป็นการปลูกฝังเยาวชนรุ่นใหม่ด้วย
เพราะถ้ายึดตามแนวพระราชดำริของสมเด็จย่า คือ สร้างคน ช่วยเขาให้เขาช่วยตัวเอง ถ้าเราสามารถช่วยเขาให้อยู่ได้ด้วยตัวเอง ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการพัฒนา
เจ้าหน้าที่เล่าต่อว่า “สมัยแรกๆเก็บละเอียดกว่านี้ ถ้วย ช้อน ตะเกียง เทียน เพราะผู้บริหารโครงการย้ำชัดว่า ก่อนที่จะทำอะไรต้องเก็บข้อมูลทั้งหมด หลังทำแล้วก็เอาข้อมูลมาเปรียบเทียบ แรกๆ มีปัญหาการเก็บข้อมูล อย่างที่บอกเจ้าหน้าที่เข้าหน้าบ้าน ชาวบ้านออกหลังบ้าน แต่ทุกวันนี้มีอะไรมานั่งคุยกันแล้ว เพราะเราบอกว่าต่อไปเขาต้องรับไปทำในอนาคต และต้องไปสานต่อลูกหลาน ศูนย์นี้ต้องยืนได้”
ปัจจุบัน ผู้นำชุมชนในโครงการพัฒนาดอยตุงคืออาสาที่มาช่วยในโครงการพัฒนาก่อนหน้านี้ และวันนี้มาเขาเป็นผู้นำชุมชนแล้ว เป็นผลจากที่โครงการพัฒนาดอยตุงได้สร้างคนมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยการที่เราคัดกลุ่มคนที่พอจะอ่านออกเขียนได้ก็ถือว่าดีแล้ว ไม่ว่าจะ ป. อะไร ป.3 ป.4 ป.5 เราคัดมาเพื่อเป็นตัวแทนหมู่บ้าน เพื่อที่จะมาพัฒนา เราเรียกว่ากลุ่มคนเหล่านี้ว่า อาสาสมัครโครงการพัฒนาดอยตุง อาสา อบต. คือพัฒนาให้เขามีความรู้ มีโครงการอบรมอะไร เราส่งไปอบรมหมดทุกอัน ดังนั้นคนที่เรียนก็เรียนไป ส่วนคนที่ไม่เรียน อยู่บ้าน ก็มาช่วยกัน อาจจะมาเป็นกรรมการหมู่บ้าน ต้องมาช่วยกันคิด ขณะที่ส่วนพัฒนาสังคมของโครงการพัฒนาดอยตุงก็ไปเสริม ไปช่วย ไปเป็นที่ปรึกษา
วันนี้กลุ่มเหล่านี้เป็นผู้นำชุมชน เป็นพ่อหลวง เป็นนายก อบต. เป็นผู้ช่วย
ถือว่าได้สร้างคนแล้ว แล้ววันนี้เราอยากให้กลุ่มคนเหล่านี้สร้างคนต่ออีก โดยหวังว่าเมื่อถึงวันที่จะต้องถ่ายโอนโครงการกันจริงๆ ในปี 2560 สมาชิกโครงการพัฒนาดอยตุงมีความพร้อมอย่างแท้จริง
ดังนั้น เกือบ 30 ปีที่ที่นี่เป็น “ต้นแบบทางเลือก” เจ้าหน้าที่ยอมรับว่าความสำเร็จของดอยตุงในวันนี้ได้มาเพราะการพัฒนาแบบโยน หินถามอะไรเยอะ ที่ดีก็มีเยอะ แต่ที่ไม่ประสบความสำเร็จก็มี เพราะความมุ่งมั่นที่ต้องการเป็น “การพัฒนาทางเลือก”
ดังนั้นกระบวนการพัฒนา จึงไม่มีที่สิ้นสุดนั่นเอง….
บทความจาก http://thaipublica.org/2012/03/doitung-university-of-life-2/จิตวิญญาณ-วิถีคนดอย แค่กฎชุมชนก็เอาอยู่
โครงการบำบัดยาเสพติด เป็นอีกการพัฒนาที่เป็นแบบอย่าง การปลูกคน ปลูกชุมชนให้เข้มแข็ง ในแนวทางการช่วยเขาให้เขาช่วยตัวเอง
เจ้าหน้าที่เล่าว่า โครงการบำบัดยาเสพติดเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2534 เริ่มจากการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่โครงการดอยตุงเข้าใจก่อนรอบแรก จากนั้นส่งเจ้าหน้าที่ออกไปรับสมัครว่ามีใครสนใจจะเข้าโครงการบำบัดไหม ก็มีคนสมัครเข้ามา
คนสมัครส่วนใหญ่อยากจะเลิก ติดอยู่ที่คนแก่ที่ดูดฝิ่นกลัวว่าเลิกเมื่อไหร่ตายเมื่อนั้น ทางโครงการก็จัดชุดเจ้าหน้าที่เข้าไปคุยกับคนในครอบครัว และให้คณะกรรมการหมู่บ้านเข้าไปคุยอีกว่า โครงการนี้จะช่วยให้เขามีชีวิตใหม่
ปรากฏว่ามีชาวบ้านเหลือไม่กี่คนที่ไม่ยอมเข้าโครงการ แต่บางคนหนีไปเลย วันสุดท้ายมีคนสมัครเข้าศูนย์บำบัด 469 คน
ศูนย์บำบัดผาหมีเปิดในเดือนกุมภาพันธ์ 2535 มีแพทย์ มีทหาร มีตำรวจตะวนชายแดน (ตชด.) ช่วยกันดูแล การถอนพิษยาเสพติดใช้เวลา 21 วัน ตามหลักการของแพทย์ หลังจากนั้นติดตามอีก 1,000 วัน หรือประมาณ 3 ปี โดยส่งชุดปฏิบัติการณ์หมู่บ้าน มีทหาร ตชด. ตำรวจ เจ้าหน้าที่ส่วนพัฒนาสังคมของโครงการดอยตุง เป็นชุดติดตามกลุ่มที่เข้าบำบัดในหมู่บ้าน
ขณะเดียวกันมีการกำหนดกฎระเบียบของแต่ละหมู่บ้านออกมารองรับกลุ่มที่ออก มาจากโครงการบำบัด โดยกฏระเบียบจะแตกต่างกัน บางหมู่บ้าน หากกลับออกมาแล้ว และถ้าหากกลับไปเสพอีก ครั้งที่หนึ่งก็ส่งกลับเข้าศูนย์อีกครั้ง ครั้งสองว่ากล่าวตักเตือนครอบครัวที่ไม่ดูแล ครั้งที่ 3-4 อาจจะต้องไล่ออกจากหมู่บ้านไป ทั้งนี้เป็นไปตามกฏที่หมู่บ้านกำหนด เพราะแต่ละหมู่บ้านมีข้อกำหนดอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้หมู่บ้านที่เขาได้ร่วมดำเนินการป้องกันยาเสพติด ให้ป้ายหมู่บ้านที่ปลอดยาเสพติด บ้านไหนที่ไม่ยุ่งเกี่ยว หรือยุ่งเกี่ยว แต่ทางหมู่บ้านสามารถบริหารจัดการได้ ก็ไม่ต้องไปแจ้งตำรวจ-ทหารให้มาจัดการ โดยคณะกรรมการหมู่บ้านสามารถเรียกคนเสพไปลงโทษ ว่าคุณผิดกฎระเบียบหมู่บ้าน
ชุดแรกที่มอบป้ายหมู่บ้านปลอดยาเสพติดไป 12 หมู่บ้าน ส่วนชุดที่สองอีก 5 ป้าย จะมอบให้หมู่บ้านต่อไป
เจ้าหน้าที่อธิบายว่า “การได้รับป้ายแล้วไม่ใช่ว่าหมู่บ้านจะไม่มียาเสพติด เมื่อยังมีอยู่ ถ้ามีคนเสพและจับได้จะต้องรับโทษตามกฎระเบียบของหมู่บ้าน โดยเขาจัดการกันเอง และแจ้งมาทางเราว่าเขาจัดการกับลูกบ้านของเขากันเอง อันนี้เราถือว่าเขาเข้มแข็งแล้ว”
วันนี้ศูนย์บำบัดยาเสพติดที่บ้านผาหมีไม่มีแล้ว กลายเป็นศูนย์ฝึกอบรมการปลูกพืช ปลูกผัก เพราะเราสร้างความเข้มแข็งเรื่องยาเสพติดได้แล้ว ให้แต่ละหมู่บ้านจัดการกันเอง และผู้ที่เข้าบำบัด 469 คนในตอนนั้น ไม่มีการเสียชีวิตจากการเข้าโครงการบำบัด
“ปัจจุบันคนรุ่นเก่าไม่มีแล้ว แต่มีในคนรุ่นใหม่ คณะกรรมการหมู่บ้าน ผู้นำหมู่บ้าน ช่วยดูแลอยู่ ซึ่งโครงการพัฒนาดอยตุงมี 29 หมู่บ้าน บางทีเวลาตรวจปัสสาวะ ถ้าเป็นคนเยาวชนหมู่บ้านไหน เมื่อไปรับการบำบัดแล้ว กลับมาที่หมู่บ้านจะติดตามต่อ ให้มาทำกิจกรรมเพื่อประโยชน์ในหมู่บ้านอีก”
นี่คือกฎของชุมชนที่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง โดยไม่ต้องเอื้อมมือไปใช้กฎหมาย
นี่คือบทพิสูจน์วิถีคนดอย จิตวิญญาณคนพัฒนาแล้ว
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น