7,000,000,000

PEOPLE CONSUMING WHAT NOW ?

WHAT'S WRONG WITH OUR FOOD SYSTEM ?

Every night 1 in 7 people go to bed hungry-that's almost 1 billion people worldwide.

Polluted river water

Kills as many people as a nuclear explosion.

THE RECYCLE CHRONICLES

Lack of knowledge hinders recycling efforts.

Everybody wants happiness

Nobody wants pain, but you can't have a rainbow with out a little rain.

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

BE Magazine นิตยสารเพื่อสังคม ต่อสู้ความยากไร้ด้วยการให้อาชีพ


เรื่อง : อาศิรา พนาราม
ภาพ : สุวิทย์ วงศ์รุจิราวาณิชย์ และ BE Magazine
BeMagazine
BE Magazine นิตยสารไลฟ์สไตล์น้องใหม่อายุเพียงขวบกว่าๆ เล่มนี้ บางครั้งคุณอาจเห็นตามแผงหนังสือ แต่บางครั้งก็เห็นจาก “คนขาย” ที่มายืนขายตามสถานีรถไฟฟ้า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ BE Magazine ไม่ได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อกินส่วนแบ่งในตลาดนิตยสารเพียงอย่างเดียว แต่ได้วางเป้าให้ตัวเองเป็น “นิตยสารเพื่อสังคมเล่มแรกของเมืองไทย” ที่มุ่งช่วยเหลือคนที่ขาดโอกาสในสังคม ซึ่งก็คือกลุ่มนักขายของนิตยสารนั่นเอง
อารันดร์ อาชาพิลาส คนหนุ่มวัย 23 ผู้ก่อตั้ง Be Magazine มองเห็นความเป็นไปได้ในการทำธุรกิจเพื่อสังคมในเมืองไทย โดยแรงผลักดันของเขาคือ ความต้องการที่จะต่อสู้กับอาชีพที่ไม่ควรมีในสังคม เช่น ขอทาน ควาญช้าง เด็กขายพวงมาลัยตามสี่แยก ไปจนถึงคนไร้บ้าน ไร้อาชีพ ซึ่งสำหรับอารันดร์แล้วการต่อสู้ครั้งนี้คงไม่ใช่การกวาดล้างหรือขับไล่ แต่เป็นการทำให้เขาเหล่านั้นมี “อาชีพทางเลือก” เข้ามาทดแทน
“ข้ามกำแพง 8,000 บาท”
“ปัจจุบันคนไร้บ้านหรือผู้ด้อยโอกาสมักถูกกีดกันออกจากสังคม แม้หากมีการช่วยเหลือก็มักจะมาในรูปแบบของการบริจาคเป็นครั้งคราว ซึ่งไม่ใช่ทางแก้ที่ยั่งยืนครับ” คุณอารันดร์เริ่มต้นการสนทนากับเราอย่างตรงประเด็น
“มันน่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือ หากพวกเขาเหล่านั้นจะยืนหยัดได้ด้วยตนเอง โดยอาศัยความช่วยเหลือจากธุรกิจเพื่อสังคม โชคดีที่ค่าครองชีพโดยภาพรวมของประเทศเราไม่สูงมาก ฉะนั้น การที่คนยากไร้คนหนึ่งจะลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้จึงไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป ขอเพียงให้เขาข้ามกำแพงข้อจำกัดทางสังคมเรื่องที่อยู่ เสื้อผ้า อาหารไปได้…”
อารันดร์เรียกกำแพงนี้ว่า “กำแพง 8,000 บาท” เพราะหากคุณมีเงิน 8,000 บาท คุณก็มีพอสำหรับค่าอาหาร ค่าเช่าบ้านที่มีห้องอาบน้ำ ค่าเสื้อผ้าสำหรับแต่งตัวออกไปหางานทำ ซึ่งนี่เองคือ กำแพงที่หากคนๆ หนึ่งสามารถกระโดดข้ามไปแล้ว คนๆ นั้นก็สามารถดิ้นรนเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ ขอเพียงว่า เงินนั้นต้องเป็นเงินที่คุณหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ซึ่งจะช่วยสร้างจิตสำนึกในการพึ่งตนเองได้มากกว่าการรับเงินให้เปล่าหลายเท่าทวีคูณ
ทำไมถึงเป็น BE Magazine
อารันดร์เลือกธุรกิจนิตยสารด้วยเหตุผลหลายอย่าง เริ่มจากเขาเห็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จของ Big Issue นิตยสารเพื่อสังคมในประเทศอังกฤษ ประกอบกับในเมืองไทยนิตยสารก็เป็นสินค้าที่มีต้นทุนการผลิตไม่สูงมาก  สามารถขายได้โดยไม่ต้องขอ อ.ย. ทำให้ผู้บริโภคสะดวกใจที่จะซื้อจากคนขายข้างถนน นอกจากนั้นยังเป็นสินค้าที่เปิดโอกาสให้คนทำได้พัฒนาตนเองอย่างไม่มีข้อจำกัด
ทุกวันนี้ BE Magazine เปิดโอกาสให้คนไร้บ้านและคนขาดโอกาส (ที่ไม่มีแม้แต่ทุนเริ่มต้น) มารับนิตยสารไปขายฟรีๆ 30 เล่มแรก (ในราคาขายเล่มละ 45 บาท) สามารถยืนขายที่รถไฟฟ้าทั้ง BTS และ MRT ในช่วงวันธรรมดาหลังเลิกงาน โดยทางนิตยสารจะทำการอบรมเทคนิคการขายให้ด้วย หลังจากนั้น เมื่อขายได้หมด คนขายคนหนึ่งจะได้เงิน 1,350 บาท มาเป็นเงินตั้งต้น ครั้งต่อไปเขาก็มารับนิตยสารไปขายได้อีกในราคาเล่มละ 25 บาท ซึ่งพอขายได้ครั้งนี้เขาจะมีกำไร 20 บาทต่อเล่ม และหากเขาสะสมรายได้ต่อไปเรื่อยๆ เขาก็จะข้ามกำแพง 8,000 บาทนี้ไปได้ในที่สุด
“เอ็นดูเขา เอ็นเราไม่ขาด” หัวใจของธุรกิจเพื่อสังคม
“อะไรที่เริ่มทำเป็นครั้งแรก มันจะล้มเหลวแน่นอน” นั่นคือ สัจธรรมที่ทำให้คนล้มแล้วต้องลุก ในช่วงแรกอารันดร์วาดฝันว่าโมเดลที่ประสบความสำเร็จแล้วของหนังสือ Big Issue (UK) จะต้องสำเร็จใน “เมืองไทยใจดี” ด้วยเช่นกัน ครั้งแรกเขาตั้งราคาขาย Be Magazine เพียงแค่เล่มละ 20 บาท (โดยคิดเงินคนยากไร้แค่เล่มละ 1 บาท) แต่อะไรๆ ก็ไม่ได้สวยงามเหมือนดั่งฝัน เอ็นเขาจึงขาดผึงตั้งแต่ 2-3 เล่มแรก นั่นเป็นเพราะธุรกิจเพื่อสังคมยังใหม่มากในเมืองไทย ยากที่จะทำให้เอเจนซี่โฆษณาและคนยากไร้เข้าใจได้ถ่องแท้ รายได้เพียงเท่านั้นยังไม่สามารถหล่อเลี้ยงธุรกิจได้
เล่มถัดมาเขาจึงปรับราคาหนังสือเป็น 45 บาท เอากำไร 25 บาทต่อเล่ม ซึ่งทำให้ครอบคลุมต้นทุนการผลิต (ซึ่งเขาได้ประมาณการไว้อย่างดี) บวกกับค่าโฆษณาที่เริ่มเข้ามามากขึ้น ก็ทำให้อารันดร์พอมีรายได้เข้ามาหมุนเวียนในบริษัท อย่างไรก็ดี เขามองว่าจุดสำคัญที่สุดที่ทำให้ธุรกิจนี้ลืมตาอ้าปาก ก็คือ การที่ “ธุรกิจเพื่อสังคม” เริ่มเป็นที่รับรู้ของคนในวงที่กว้างขึ้น ตัวเขาเองได้ทำการประชาสัมพันธ์และออกสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง “นี่แหละครับที่ทำให้ BE Magazine เป็นที่รู้จักและยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ”
BeMagCover
ขอโอกาสจากผู้ยากไร้ ให้โอกาสกับตัวเอง
จริงอยู่ที่คนลำบากยากไร้มีอยู่ทั่วเมือง แต่จะให้ลงพื้นที่ชักชวนกันทีละคนสองคนคงไม่ใช่วิธีที่เหมาะสม อารันดร์เลือกเดินเข้าติดต่อกับสภาสังคมสงเคราะห์ ซึ่งมีข้อมูลของคนไร้บ้านอยู่แล้ว รวมทั้งยังได้ติดต่อเข้าไปหากรมราชฑัณฑ์ เพื่อนำเสนออาชีพทางเลือกให้กับนักโทษที่พร้อมจะคืนสู่สังคม
“มันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด ใช่ว่าพอผมไปชักชวนแล้ว พวกเขาจะตามกันมาเป็น 100 คน ไปพูดครั้งหนึ่งๆ อาจมีคนสนใจทำเพียง 10 คน แต่ดีที่ว่าเมื่อพวกเขาทำแล้วเห็นผลด้านบวก เขาก็ไปชักชวนคนรู้จักให้เข้ามาทำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือบางคนได้เห็น BE Magazine ในสื่อต่างๆ ก็จะแนะนำคนละแวกบ้านที่ลำบากให้เดินมาสร้างอาชีพกับเรา”
แก้ปัญหาสังคมด้วยธุรกิจเพื่อสังคม
“ธุรกิจเป็นระบบที่นำมาใช้แก้ปัญหาได้เร็วที่สุด เพราะหากเรามัวแต่รอการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น แก้กฎหมาย แก้กฎระเบียบของรัฐ ฯลฯ ถ้าชาวบ้านไม่เข้าใจกฎหมายดีพอ ก็เท่ากับว่าเขาใช้ประโยชน์จากตรงนั้นไม่ได้เลย แต่ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้เร็ว ไม่ต้องรออนุมัติหลายขั้นตอน ปรับตัวได้ง่าย และเข้าถึงปัญหาได้ตรงจุด ฉะนั้น หากเรามีการวางระบบที่ดี ร่วมกับการกระจายข่าวสารที่ทั่วถึง สังคมก็น่าจะตอบรับและให้ความร่วมมือกับเราไม่ยาก”
อารันดร์มองว่า ธุรกิจเพื่อสังคมเหมาะอย่างยิ่งกับประเทศไทย เพราะคนไทยเป็นชนชาติที่มีเมตตา นิยมการช่วยเหลือเกื้อกูลและการให้ แต่ปัจจุบันแหล่งรับบริจาคหลายแห่งไม่มีระบบที่ชัดเจน เช่น บริจาคเงินทำบุญแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเงินนั้นจะไปไหน ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจเพื่อสังคมจะเน้นการสร้างระบบที่ชัดเจน โปร่งใส ยกตัวอย่างเช่น BE Magazine ที่ใช้นิตยสารเป็นสื่อกลางให้ “คนได้ช่วยคน” ด้วยเงินเพียง 45 บาทต่อเดือน จากการซื้อนิตยสารหนึ่งเล่มจากนักขายยากไร้ เห็นชัดเลยว่า เป็นการช่วยทางตรง หรือแม้กระทั่งกับการสมัครสมาชิกรายปี เงิน 240 บาทจากค่าสมาชิกนั้น ก็จะนำไปบริจาคให้กับมูลนิธิที่ผู้อ่านเลือกเองตั้งแต่แรกสมัคร เมื่อผู้อ่านได้รับหนังสือ ก็จะได้รับใบเสร็จเงินบริจาคจากมูลนิธินั้นๆ ด้วย
“ผมว่าโมเดลธุรกิจที่ดีและโปร่งใส จะดึงคนจำนวนมากให้เข้ามาช่วยกัน เพราะคนคนเดียวเปลี่ยนโลกไม่ได้ครับ ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ แต่มาจากคนจำนวนมาก คืออีกวิธีที่ทำให้การแก้ปัญหาเดินเข้าใกล้ความสำเร็จเร็วขึ้น”
TIPS : “ธุรกิจ – รัฐ – มวลชน” กลไกขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสังคม
อารันดร์มองว่า การแก้ปัญหาสังคมควรต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้ง 3 ส่วน นั่นคือ ภาคธุรกิจ ภาคประชาชน และภาครัฐ เราจึงถามอารันดร์ว่า ในมุมมองของเขา รัฐสามารถช่วยเหลือธุรกิจเพื่อสังคมได้อย่างไรบ้าง และนี่คือข้อเสนอจากอารันดร์แห่ง Be Magazine
1. มีองค์กรกลางที่จัดสรรข้อมูลให้กับผู้ที่สนใจในธุรกิจเพื่อสังคม ธุรกิจเพื่อสังคมหลายแห่งต้องการข้อมูลจากหน่วยงานรัฐ แต่ไม่รู้ว่าต้องไปติดต่อกับใคร หรือกว่าจะได้ข้อมูลทีก็นานแสนนาน เพราะไม่มีผู้รับผิดชอบโดยตรง ฉะนั้น ควรมีเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานกลางที่รับเรื่องไปแล้วคอยประสานให้ว่า คุณควรติดต่อกับหน่วยงานไหน เพื่อการเข้าถึงข้อมูลที่สะดวก
2. สื่อภาครัฐควรเปิดช่องทางให้ธุรกิจเพื่อสังคมมากขึ้น ทุกวันนี้มีหลายคนที่กำลังทำสิ่งดีๆ แต่ไม่มีใครรับรู้ เพราะธุรกิจเพื่อสังคมจะอยู่ได้ก็ต้องอาศัยสังคมสนับสนุน และสังคมวงกว้างจะรู้ได้ก็ต้องอาศัยสื่อเป็นหลัก
3. มีเว็บไซต์กลางที่สนับสนุนผู้ที่สนใจทำธุรกิจเพื่อสังคม Resource นี้ควรมีขึ้นโดยเร็ว เพื่อให้ความรู้เรื่องแผนธุรกิจเพื่อสังคมต่างๆ อาจมีกิจกรรมโปรโมทเพื่อระดมทุนจากผู้ใจบุญ และเพื่อจัดสรรทุนให้กับธุรกิจเพื่อสังคม รวมถึงมีกิจกรรมอื่นๆ ที่ผลักดันแนวคิดนี้ เช่น แข่งขันสร้างแผนธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อรับทุนไปดำเนินงานจริง จัดนิทรรศการให้ความรู้กับบุคคลทั่วไป ฯลฯ
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
http://www.think-be.com/
http://www.bigissue.com/


Read more: http://article.tcdcconnect.com/interview/be-magazine-%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%95%e0%b8%a2%e0%b8%aa%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b9%80%e0%b8%9e%e0%b8%b7%e0%b9%88%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%b1%e0%b8%87%e0%b8%84%e0%b8%a1-%e0%b8%95%e0%b9%88%e0%b8%ad#ixzz2CG1nGNh2

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฟาร์มสุข ไอศกรีม






ฟาร์มสุข ไอศกรีม ธุรกิจไอศกรีมเพื่อแก้ปัญหาเยาวชนอย่างยั่งยืน


https://www.facebook.com/farmsookicecream

ภารกิจ
เราช่วยเด็กอย่างยั่งยืนด้วยการสอนเด็กด้อยโอกาสทำไอศกรีมนมพรีเมี่ยมโฮมเมด เรานำไปขาย รายได้ให้เด็ก แบ่งส่วนไว้ทำไอศกรีมต่อ อีกส่วนแบ่งไว้สอนเด็กกลุ่มต่อไ

รายละเอียด
กิจการเพื่อสังคมคืออะไร
- คือการทำธุรกิจที่หวังผลกำไร โดยนำกำไรไปแก้ปัญหาสังคม

ฟาร์มสุข ไอศกรีม เป็นกิจการเพื่อสังคมอย่างไร
- ฝึกอาชีพให้เด็กมีส่วนร่วมทำไอศกรีม เรานำไปขายให้ เพื่อให้เด็กมีรายได้ มีอาชีพ มีความภูมิใจ

ทำไมไม่ทำในรูปแบบมูลนิธิ
- มูลนิธิไม่สามารถแสวงหาผลกำไรได้สูงสุด ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาเงินบริจาค ทำให้ขาดความต่อเนื่องในการแก้ปัญหาสังคม

ฟาร์มสุข ไอศกรีม ไม่ทำงานในรูปแบบมูลนิธิเพราะ
- เราต้องการใช้ความรู้ในการทำธุรกิจหาเงินรายได้จากการขายไอศกรีม+เงินบริจาคไปแก้ปัญหาเด็กอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

ทำไมกิจการเพื่อสังคมจึงต้องแสวงหาผลกำไรสูงสุด
- ยิ่งมีกำไรมาก ปัญหาสังคมยิ่งถูกแก้ไขได้มากขึ้น มีความยั่งยืนมากขึ้น

ทำไมไอศกรีมฟาร์มสุขจึงต้องแสวงหาผลกำไรสูงสุด
- ยิ่งไอศกรีมขายดีมาก เด็กๆ ก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น มีความภูมิใจมากขึ้น มีเด็กที่ได้รับโอกาสฝึกอาชีพร่วมทำไอศกรีมเพิ่มมากขึ้น มีความยั่งยืน

ทำไมไอศกรีมฟาร์มสุขจึงต้องเปิดรับบริจาค
- เราตั้งใจให้คนในสังคมมีส่วนร่วมกับเราในการแก้ปัญหาเด็กอย่างยั่งยืน

กิจการเพื่อสังคม ต่างจาก CSR อย่างไร
- กิจการเพื่อสังคมมีวัตถุประสงค์ก่อตั้งมาเพื่อแก้ปัญหาสังคมตั้งแต่เริ่มทำกิจการ แต่ CSR เป็นกิจกรรมตอบแทนสังคมของกิจการให้ตัวเองร่ำรวยก่อนแล้วค่อยตอบแทนสังคม

ฟาร์มสุข ไอศกรีม ต่างจาก CSR อย่างไร
- เราก่อตั้งดำเนินธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาเด็กอย่างยั่งยืน ไม่ได้ก่อตั้งมาเพื่อให้ตัวเองร่ำรวยก่อนแล้วค่อยมาช่วยแก้ปัญหาเด็ก

ฟาร์มสุข ไอศกรีม จะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนอย่างไร
- เราใช้ความรู้ทางธุรกิจ สร้างระบบ กระบวนการจัดการ ความรู้ทางธุรกิจ การตลาด สร้างแบรนด์ ให้กับไอศกรีมที่เด็กๆ ร่วมทำ และทุกสิ่งที่เราทำสามารถวัดผลความยั่งยืนออกมาเป็นตัวเลขได้ พูดง่ายๆ คือเราไม่ได้มั่ว

วัดผลอย่างไร
- เราใช้ Social Impact Indicators ซึ่งเป็นการวัดผลในการแก้ปัญหาสังคมอย่างเป็นสากล โดยใช้การคำนวณ Social Return on Investment ยกตัวอย่างเช่น ให้เงินเด็กๆ ไปทำไอศกรีม 1 บาทจะได้ผลตอบแทนมา 10 บาท, เด็กมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการมีส่วนร่วมทำไอศกรีมต่อเดือนกี่บาท ขั้นตอนนี้ หน่วยงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติ จะเป็นหน่วยงานที่ช่วยเราตรวจสอบวัดผล

ทำไมเราจึงเลือกที่จะช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส
- เพราะเด็กคืออนาคตของสังคม เรามุ่งมั่นที่จะสร้างให้เด็กเห็นคุณค่าและภาคภูมิใจในความสามารถของตัวเอง เพื่อพัฒนาสังคมโดยรวมจากรุ่นสู่รุ่นอย่างยั่งยืน

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

บ้านนาวิลิต สืบสานวิถีชีวิตเกษตกรรมดั้งเดิม


นาข้าวอินทรีย์ - บ้านนาวิลิต สืบสานวิถีชีวิตเกษตกรรมดั้งเดิม

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

นิตยสาร สารคดี


ในปี พ.ศ. 2517 สำนักพิมพ์เมืองโบราณก่อตั้งขึ้นโดยมีนโยบายเพื่อผลิตวารสาร เมืองโบราณ ซึ่งเป็นวารสาร วิชาการราย 3  เดือน ที่มีเนื้อหาด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี วัฒนธรรม ต่อมาเริ่มจัดทำหนังสือวิชาการและพ็อกเกตบุ๊กในแนวเดียวกัน และขยายงานเป็นสำนักพิมพ์เล็กๆ อีกหลายสำนักพิมพ์คือ สำนักพิมพ์ปลาตะเพียน สำนักพิมพ์มหานาค  สำนักพิมพ์สีดา  เพื่อผลิตหนังสือแนวอื่น ๆ
ปี พ.ศ. 2526-2527 ประเทศไทยเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย  ฝ่ายบริหารจึงได้วิเคราะห์สถานการณ์ดังกล่าว  จึงมีข้อสรุปเพื่อนำมาเป็นแนวทางปฏิบัติ  2  แนวทางคือ
1.  แนวทางชะลอการลงทุน  และวางแผนเร่งส่งเสริมการขายเพื่อระบายหนังสือในสต็อกซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากออกไปให้ได้มากที่สุด
2.  สร้างนิตยสารใหม่เพื่อเป็นวงจรใหม่ของสำนักพิมพ์ โดยจะต้องเป็นนิตยสารที่เลี้ยงตัวเองได้อย่างแท้จริง คือเป็นนิตยสารที่มีเนื้อหากว้าง มีผู้อ่านจำนวนมาก มีรายได้จากการขายโฆษณาในแต่ละฉบับ ซึ่งครอบคลุมค่าพิมพ์และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (วารสาร เมืองโบราณ เป็นวารสารที่มีเนื้อหาเฉพาะทางมีผู้อ่านในวงจำกัด จึงหาโฆษณาได้น้อย)
จากแนวทางที่ 2 จึงเป็นที่มาของนิตยสาร สารคดี โดยมีการดำเนินงานและทีมงานแยกต่างหากเป็นอิสระ เมื่อแรกวางจำหน่าย นิตยสาร สารคดี ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ในฐานะนิตยสารที่นำเสนอเรื่องแนวสารคดีโดยเฉพาะ ให้ความสำคัญกับการถ่ายภาพและการออกแบบรูปเล่มเป็นพิเศษ ซึ่งแตกต่างจากนิตยสารฉบับอื่นๆ ในช่วงเวลานั้น
วิสัยทัศน์และเจตนารมณ์ขององค์กร วัตถุประสงค์ในการดำเนินงานขององค์กร


ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีคุณภาพต่อสังคมไทย
บริษัท วิริยะธุรกิจ จำกัด  ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2526 มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจการด้านสิ่งพิมพ์ เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงในด้านการผลิตสิ่งพิมพ์ที่มีคุณภาพ ทั้งการจัดทำเนื้อหา การถ่ายภาพ และการออกแบบรูปเล่ม  ผลงานการผลิตสิ่งพิมพ์ในเครือได้แก่ นิตยสาร สารคดี  สำนักพิมพ์สารคดี  วารสารเมืองโบราณ สำนักพิมพ์เมืองโบราณ
นอกจากนี้บริษัทวิริยะธุรกิจ จำกัด ยังรับออกแบบและจัดพิมพ์สิ่งพิมพ์ประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ปฏิทิน รายงานประจำปีของบริษัทห้างร้านต่างๆ โดยมีลูกค้าที่สำคัญ เช่น กรมป่าไม้ สำนักนายกรัฐมนตรี บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด  บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด  บริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)   บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ฯลฯ  ภายใต้การควบคุมการผลิตโดยผู้ชำนาญด้านการพิมพ์ที่มีประสบการณ์ไม่ต่ำกว่า 20 ปี


ผลตอบแทนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม: 

• ส่งเสริม ปลูกฝังและกระตุ้นจิตสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับผู้อ่าน ผ่านเนื้อหาในนิตยสารและกิจกรรม เช่น รณรงค์ให้สมาชิกส่งกระดาษลูกฟูกที่ห่อนิตยสารกลับไปยังกองบรรณาธิการเพื่อนำไปรีไซเคิล • เป็นนิตยสารที่ได้รับความเชื่อถือสูงที่สุดเล่มหนึ่งในประเทศไทย ในแง่ของความละเอียด ถูกต้องแม่นยำ ครบถ้วน และรอบด้านของแหล่งข้อมูลและความรู้ รวมทั้งคุณภาพของภาพถ่ายประกอบ เนื้อหาในนิตยสารถูกนำไปอ้างอิงอย่างสม่ำเสมอ สร้างทั้งบรรทัดฐานในวงการนิตยสารและแรงบันดาลใจสำหรับนักเขียนและช่างภาพสารคดีรุ่นแล้วรุ่นเล่าสืบมาจวบจนปัจจุบัน • เป็นทางเลือกของแหล่งความรู้ในแขนงต่างๆ ที่เจาะลึกและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน แต่สื่ออื่นๆ ยังไม่มีทางเลือกให้มากนัก โดยเฉพาะความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมพื้นบ้าน • จัดกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับสำนักพิมพ์สารคดีและผู้ให้การสนับสนุน อาทิ นิทรรศการภาพถ่ายสารคดี งานเสวนา โครงการประกวด และค่ายนักเขียนสารคดี เพื่อจุดประกายหรืออบรมผู้ที่สนใจอยากทำงานเขียนหรือถ่ายภาพสารคดี
ความมั่นคงทางการเงิน: 
นิตยสารสารคดีสามารถยืนหยัดมายาวนานกว่า 25 ปี โดยมีรายได้หลักมาจากค่าโฆษณาในเล่มและค่าสมัครสมาชิก โดยในปี 2551 มีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากปีก่อนหน้า แต่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 58 ในช่วงเวลาเดียวกัน เนื่องจากรายจ่ายดอกเบี้ยลดลง
ที่อยู่สำนักงาน:
นิตยสาร สารคดี บริษัทวิริยะธุรกิจ จำกัด 28,30 ถนนปรินายก แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200
โทรศัพท์ / มือถือ:
0-23281-6110
โทรสาร:
0-2282-7003
เว็บไซต์:
http://www.sarakadee.com

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

๑4๑ เพียงซื้อผลิตภัณฑ์ก็ได้ปันของเล่นให้น้อง


๑4๑ เพียงซื้อผลิตภัณฑ์ก็ได้ปันของเล่นให้น้อง

408171 345078838845666 213 Copy
จากจุดเริ่มต้นในการเลือกของเล่นที่มีประโยชน์ให้กับลูกฝาแฝด ฟ้าและน้ำ มาสู่แรงบันดาลใจในการสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อสังคมที่สามารถส่งต่อความหวังดีของผู้ซื้อสู่เด็กผู้ด้อยโอกาส เพราะการบริโภคเพียงเพื่อตัวเราคงไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่การแบ่งปันกลับคืนสู่สังคมและสิ่งแวดล้อมกลายเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนธุรกิจในยุค Generation Generosity และนี่คือจุดเริ่มต้นของการสร้างธุรกิจเพื่อสังคม ๑4๑ โดยคมกฤช และกฤติยา ตระกูลทิวากร
๑4๑ เป็นผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์ประเภทของใช้ตกแต่งภายในบ้าน เช่น นาฬิกา ที่กั้นหนังสือ เก้าอี้ กล่องใส่ของ ฯลฯ โดยมีเอกลักษณ์โดดเด่นอยู่ที่ลายฉลุซึ่งถูกออกแบบให้เป็นลวดลายต่างๆ เช่น กวางมูส กระต่าย นก เต่า แกะ ต้นไม้ ฯลฯ ช่องว่างที่ถูกฉลุออกไปนี้เปรียบเสมือนกับช่องว่างแห่งการให้ (The giving space) ที่ถูกนำไปผลิตเป็นของเล่นเชิงสร้างสรรค์ส่งมอบให้กับเด็กด้อยโอกาสตามมูลนิธิเด็กที่มีเครือข่ายศูนย์เด็กอ่อนในชนบท ดังนั้นทุกๆ หนึ่งผลิตภัณฑ์ที่เราซื้อ ส่วนหนึ่งของวัตถุดิบจะถูกนำไปผลิตเป็นของเล่นไม้ได้หลายชิ้น
สิ่งหนึ่งที่ถูกสะท้อนกลับมาในใจผู้บริโภคก็คือ เราทุกคนได้มีส่วนร่วมในการส่งมอบของเล่นให้กับเด็กด้อยโอกาส เพื่อให้เขาเหล่านั้นเติบโตไปกับของเล่นที่มีคุณภาพ เพราะการที่เขาเกิดมาด้อยโอกาส ไม่ได้หมายความว่า เขาต้องด้อยพัฒนาทางด้านความคิดสร้างสรรค์ไปด้วย อันเป็นการสร้างสังคมให้น่าอยู่มากขึ้นผ่าน ‘วิถีแห่งการให้ และการแบ่งปัน’ อันเป็นหัวใจหลักในการสร้างธุรกิจเพื่อสังคม ๑4๑
ที่มา : www.facebook.com/141SE


Credit/ที่มา: http://www.creativemove.com/design/141se/#ixzz27nyv0QgE

น้ำมันกว่า 16 ล้านบาร์เรล หมดไปกับการเอามาใช้ทำขวดพลาสติก

Print Ad สยอง! ดื่มน้ำบรรจุขวดพลาสติก = ซดน้ำมัน!

Brita21
Brita เครื่องกรองน้ำสัญชาติเยอรมัน ช็อคคนให้หยุดดู Print Ad ชุดนี้ ด้วยภาพหนุ่มสาวที่มีคราบน้ำมันออกมาจากปาก แทนที่จะเป็นคราบน้ำสะอาดสุดสดชื่น พร้อมทิ้งท้ายใน Ad ว่า “ปีก่อน น้ำมันกว่า 16 ล้านบาร์เรล หมดไปกับการเอามาใช้ทำขวดพลาสติก” เพื่อให้ผู้คนตระหนักว่า การดื่มน้ำที่บรรจุพลาสติกหรือที่เราเรียกกันว่าขวด PET (Polyethylene Terephthalate) ผลาญทรัพยากรน้ำมันอย่างมากในการผลิต หนำซ้ำยังปล่อยก๊าซพิษกับมลพิษที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน
Brita ต้องการให้เราหยุดการดื่มน้ำบรรจุขวดพลาสติกและหันมากรองน้ำดื่มเองโดยใช้ภาชนะที่สามารถนำกลับมาใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า หรือจริงๆ แล้วคุณอาจจะแทบไม่ต้องใช้เครื่องกรองน้ำเลยก็ได้ หากคุณอยู่ในประเทศพัฒนาแล้วอย่างยุโรปหรืออเมริกาที่มีมาตรฐานน้ำประปาดื่มได้สูงอยู่แล้ว ซึ่งแคมเปญนี้พยายามชี้ให้เห็นว่าน้ำดื่มบรรจุขวดเป็นสินค้าที่ไร้ประโยชน์ แม้ขวดพลาสติกจะสามารถนำมารีไซเคิลได้ แต่ก็เพียง 20% เท่านั้น ที่เหลือต้องใช้วิธีฝังกลบซึ่งต้องใช้เวลากว่า 700 ปีในการย่อยสลาย และยังต้องสูญเสียทรัพยากรและพลังงานในการรีไซเคิล เรียกได้ว่า ได้ไม่คุ้มเสีย ซึ่งแต่ละปี แค่เฉพาะแค่ในอเมริกามีขวดพลาสติก 38 พันล้านขวดต้องถูกนำไปฝังกลบ จำนวนพลาสติกเหล่านั้นต้องใช้น้ำมันกว่า 1.5 ล้านบาร์เรลในการผลิต เพียงให้ได้ขวดน้ำดื่มครั้งเดียวแล้วทิ้ง !
จริงอยู่…มนุษย์ต้องดื่มน้ำ แต่จำเป็นหรือไม่ ที่ต้องดื่มน้ำบรรจุขวดพลาสติก เรามีทางเลือกอื่นที่ดีสำหรับตัวเราและสิ่งแวดล้อมหรือไม่…นี่คือเรื่องใกล้ตัวที่คุณเองก็ช่วยโลกได้

น้ำดื่มบรรจุขวดผลาญทั้งพลังงานและเงินในการขนส่ง จะดีกว่ามั้ย หากคุณกรองน้ำดื่มจากก๊อกน้ำที่บ้าน  สะอาด ปลอดภัย ไม่มีค่าขนส่ง ช่วยลดการใช้พลังงานด้วย
น้ำที่นอนนิ่งในขวดพลาสติกอาจมีสารเคมีเจือปน แล้วจะเสียเงินโดยใช่เหตุทำไม  ในเมื่อเรามีทางเลือกที่ดีกว่าเพื่อชีวิตและโลกของเรา

อ้างอิง : Brita


Credit/ที่มา: http://www.creativemove.com/advertising/brita-print-ad/#ixzz27nxWDM4V

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

Good Buy... คิดก่อนช้อป สังคมก็ดีขึ้นได้

โดย ธนภณ เศรษฐบุตร (@thanapons) 
จะดีแค่ไหนถ้าการช้อปปิ้งไม่เป็นเพียงแค่การซื้อของเพื่อตนเองอีกต่อไป จะดีแค่ไหนถ้าวันนี้การซื้อของของคุณสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมได้ วันนี้สิ่งที่พูดมาทั้งหมดไม่เป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป เพราะปัจจุบันมีผู้ผลิตและผู้ค้ามากมายที่ต้องการก้าวข้ามการทำธุรกิจหรือการค้าขายแบบแบบเดิมๆ ไปสู่การค้าขายที่เป็นธรรมหรือที่เรียกกันว่า "แฟร์เทรด" (Fairtrade)
Fair Trade คือความพยายามในการส่งเสริมการค้าแบบยุติธรรม
โดยเน้นสินค้าและบริการจากประเทศโลกที่สามและโลกที่สองไปยังประเทศโลกที่หนึ่ง
แนวคิดของแฟร์เทรดไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ใหม่ในต่างประเทศ แถมสินค้าแฟร์เทรดหลายตัวก็มีคุณภาพที่เรียกได้ว่าทัดเทียมกับสินค้าทั่วไปในท้องตลาดเลยทีเดียว (ใครที่คิดว่าของที่ทำเพื่อสังคม จะมีดีไซน์ที่เชย คุณภาพขาดๆ เกินๆ ขอให้คิดใหม่) เพื่อให้เห็นภาพกันมากขึ้นผู้เขียนขอยกตัวอย่างหนึ่ง Pants to Povertyกิจการเพื่อสังคม (Social Enterprise) จากประเทศอังกฤษที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ผลิตฝ้ายในประเทศอินเดีย Pants to Poverty เป็นกิจการเพื่อสังคมที่ร่วมกับผู้ปลูกฝ้ายและโรงงานที่ประเทศอินเดีย เพื่อผลิตกางเกงในแฟร์เทรดและส่งขายไปกว่า 20 ประเทศทั่วโลก นอกจากการซื้อขายกับผู้ผลิตและโรงงานอย่างเป็นธรรมแล้ว Pants to Poverty ยังเข้าไปร่วมส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรทำการปลูกฝ้ายแบบอินทรีย์อีกด้วย
  
© pantstopoverty.com
กลับมาดูตัวอย่างของประเทศไทยกันบ้าง เคสของธุรกิจแฟร์เทรดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคงไม่พ้นดอยตุง ธุรกิจที่ช่วยให้ชุมชนหยุดการตัดไม้ทำลายป่าและหันมาสร้างอาชีพให้กับชุมชนอย่างยั่งยืนผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากพื้นที่ โดยดอยตุงนอกจากเข้าไปช่วยชุมชนพัฒนาอาชีพแล้ว ยังรับซื้อสินค้าต่างๆ จากชุมชนในราคาที่เป็นธรรมอีกด้วย นอกเหนือจากดอยตุงแล้ว "ปลาจะเพียร" ก็เป็นอีกหนึ่งกิจการเพื่อสังคมแฟร์เทรดที่น่าสนใจ

© doitung.org
‘ปลาจะเพียร’ ถูกริเริ่มขึ้นจากความร่วมมือของกลุ่มอาสาสมัครและองค์กรต่างๆ อาทิ Thailand Creative Design Center (TCDC), นิตยสาร a day, Thai Graphic Designer Association (ThaiGa), สำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคม (สกส.), สถาบันChangeFusion และอีกหลากหลายองค์กร โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างตลาดสำหรับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการสร้างศักยภาพในการประกอบอาชีพให้กับชุมชนและองค์กรเพื่อสังคมอื่นๆ อย่างยั่งยืน
ชื่อปลาจะเพียร
มาจาก ‘ปลาตะเพียนสาน’ เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงงานฝีมือของชุมชนความเป็นไทย
และการสานยังแสดงถึงการสอดประสานร่วมมือร่วมใจรวมกับความ ‘เพียร’ พยายามในการว่ายทวนน้ำของปลา

www.facebook.com/plajapian
จากเคสทั้งหมดที่กล่าวมาคงเห็นแล้วว่า ปัจจุบันนี้มีธุรกิจต่างๆ มากมาย ที่ไม่ดำเนินธุรกิจโดยมีเพียงแค่กำไรเป็นตัวตั้ง หากแต่ยังคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม และความเป็นธรรมกับคู่ค้า พวกเราเองในฐานะผู้บริโภคก็สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกันสร้างสรรค์สังคมให้ดีขึ้นได้ผ่านการสนับสนุนสินค้าและบริการของกิจการแฟร์เทรดต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าถ้าพลังผู้บริโภคนั้นมีมากพอที่จะแสดงให้ธุรกิจทั้งหลายเห็นว่ายุคของการทำธุรกิจที่เอาแต่ผลประกอบการเป็นที่ตั้งนั้นล้าสมัยไปเสียแล้ว และร่วมกันส่งเสริมธุรกิจที่ดีต่อสังคมเช่นธุรกิจแฟร์เทรด ไม่แน่ว่าในอนาคตการที่ธุรกิจทั้งหลายจะแปรเปลี่ยนตนเองเป็นธุรกิจแฟร์เทรดทั้งหมดอาจจะไม่เป็นเพียงแค่ความฝันก็เป็นได้

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

รวมผลสำรวจอาหารปนสารพิษให้คนไทยกิน !?



ผลสำรวจของเอแบคโพลเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2555 ที่ระบุว่าคนไทยส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 65.8 ยอมรับได้ที่นักการเมืองทุจริตแต่ขอให้ตนเองได้ประโยชน์ด้วย แสดงให้เห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่กำลังถูกครอบงำด้วยประเพณีชั่วที่นักการเมืองขี้ฉ้อได้สร้างขึ้นให้กลายประชาชนเป็นทาสที่ยอมจำนนกับนักการเมืองและผู้มีอำนาจได้โกงบ้านกินเมืองกันได้ตามอำเภอใจ
               โดยที่ประชาชนคงจะคิดว่าการโกงกินเป็นเรื่องไกลตัว ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วการทุจริตนั้นแม้ประชาชนอาจได้ในสิ่งที่คิดว่าได้อย่างหนึ่งเพียงน้อยนิด แต่ในความเป็นจริงแล้วประชาชนได้สูญเสียบางสิ่งบางอย่างที่ใกล้ตัวมากอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวเสียยิ่งกว่าด้วยซ้ำ               ใครจะเชื่อว่าคนไทยต้องเคยถูกหลอกให้ซื้อกินรังนกสำเร็จรูปด้วยราคาแพงมานับสิบๆ ปี ทั้งที่ความจริงแล้วมีรังนกจริงเพียงแค่ 1% ทั้งๆ ที่มีการปล่อยให้มีการโฆษณาเกินจริงมาอย่างยาวนานโดยไม่เคยมีใครออกมารับผิดชอบ               ยังไม่นับสารพิษที่คนไทยต้องกินเข้าไป ด้วยผลประโยชน์มหาศาลของกลุ่มทุนของบรรษัทข้ามชาติที่มาในรูปของยา ปุ๋ย อาหาร หลายชนิดที่สามารถนำเข้ามาในประเทศไทยได้ทั้งๆที่ทั่วโลกเขาเลิกใช้หรือสั่งห้ามใช้กันแล้ว               สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กลายเป็นแหล่งผลประโยชน์อันมหาศาลที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่วิ่งเข้าหา ส่วนภาพลักษณ์ในการไล่เบี้ยเอาผิดกับอาหารที่ปะปนสารพิษก็ทำได้กับผู้ประกอบการรายเล็กๆ เพื่อสร้างภาพเท่านั้น ยังไม่นับอีกหลายกระแสที่มีการประโคมข่าวตรวจสอบความปลอดภัยของอาหารเพียงไม่นานแล้วเรื่องดังกล่าวเหล่านั้นก็หายไปกับกลีบเมฆ ราวกับเป็นการเคาะกะลาเรียกแขกและนายทุนสามานย์เท่านั้น
      
       ทั้งหมดนี้คือต้นทุนของชีวิตที่คนไทยส่วนใหญ่ยอมรับนักการเมืองโกงได้แต่ขอให้ฉันได้ด้วย!!! 
              ทั้งหมดนี้คือต้นทุนของชีวิตที่คนไทยส่วนใหญ่ยอมรับนักการเมืองโกงได้แต่ขอให้ฉันได้ด้วย!!!                จะมีสักกี่คนที่ได้มีโอกาสอ่านรายงานการสำรวจขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ซึ่งพบว่าประเทศไทยมีเนื้อที่ทำการเกษตรมากเป็นอันดับที่ 48 ของโลก แต่ใช้ยาฆ่าแมลงเป็นอันดับ 5 ของโลก ใช้ยาฆ่าหญ้าอันดับ 4 ของโลก และนำเข้าสารเคมีสังเคราะห์ทางการเกษตรเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาทต่อปี               และตราบใดที่เรายังใช้สารเคมีเป็นพิษที่นานาชาติเขาไม่ใช้กันแล้วมาเป็นต้นทางในการใช้กับสินค้าการเกษตร การตรวจอาหารปลายทางอีกกี่ครั้งก็จะยังพบสารพิษเหล่านี้อยู่ร่ำไป และหมายความว่าคนไทยก็ยังต้องมีโรคอันเกิดจากการบริโภคสารพิษนั้นต่อไป สร้างความร่ำรวยของพ่อค้านายทุนสามานย์ ข้าราชการและนักการเมืองขี้ฉ้อทั้งหลาย               เมื่อต้นปีที่ผ่านมาภาคประชาชนโดย เครือข่ายผู้บริโภค เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีเกษตร และมูลนิธิชีววิถี ได้เคลื่อนไหวและยื่นหนังสือต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อขอให้ระงับการขึ้นทะเบียนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชอันตรายร้ายแรง 4 ชนิด คือ คาร์โบฟูราน (ชื่อการค้า-ฟูราดาน) เมโทมิล (ชื่อการค้า-แลนแนท) ไดโครฟอสและอีพีเอ็น แต่ผลปรากฏว่านายจิรากร โกศัยเสวี อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายทางการเกษตร ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามแต่อย่างใด โดยอ้างว่าข้อมูลการขึ้นทะเบียน เช่น พิษวิทยา พิษตกค้างระยะยาวฯ เป็นผลการศึกษาของบริษัทสารเคมีซึ่งถือเป็นความลับบริษัท จะนำมาเปิดเผยไม่ได้      
        11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 น.ส.สารี อ่องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ได้เปิดเผยว่านิตยสารฉลาดซื้อ ฉบับที่ 136 ถึงผักยอดฮิตในครัวเรือนไทย 7 ชนิด ได้แก่ กะหล่ำปลี คะน้า ถั่วฝักยาว ผักกาดขาว ผักบุ้งจีน ผักชี และพริกจินดา จากห้างดังหลายห้าง ทั้งชนิดที่เป็น House Brand และตรารับรอง Q เจอสารเคมีอันตรายหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คาร์โบฟูราน และเมโทมิล ซึ่งแม้จะไม่เกินมาตรฐานประเทศไทยแต่เกินมาตรฐานยุโรป ได้แก่ ถั่วฝักยาวด็อกเตอร์ ผักชีห้างพารากอน และผักชีไร่ฐิติวันต์ คะน้าโฮมเฟรชมาร์ท และถั่วฝักยาวในห้างเทสโก้ จึงเรียกร้องให้ปรับมาตรฐานการตกค้างของสารเคมีเกษตรให้เป็นมาตรฐานเดียวกับยุโรป               นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้เคยเปิดเผยผลสำรวจอาหารสดทั่วประเทศในปี 2551 ทั้งหมด 159,684 ตัวอย่าง พบสารอันตรายปนเปื้อน 3,362 ตัวอย่าง คิดเป็น 2% แต่พบบ่อยมากที่สุดได้แก่ ยาฆ่าแมลงในผักกินใบ เช่น ผักชี คะน้า ผักกาดขาว กะหล่ำปลี 2,449 ตัวอย่าง ถ้าบริโภคเข้าไปก็จะไปขัดขวางการทำงานของเอ็นไซม์ในร่างกายทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หายใจลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน ชัก หมดสติ รองลงมาคือการพบฟอร์มาลินอาหารทะเล 376 ตัวอย่าง ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร ปวดท้องรุนแรง อาเจียน ท้องเดิน หมดสติ จนถึงเสียชีวิต ถ้าสัมผัสผิวหนังทำให้ระคายเคืองอักเสบได้ สารฟอกขาวที่มักใช้ในถั่วงอกและหน่อไม้พบ 83 ตัวอย่าง จะทำให้เกิดอาการหายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง ในรายที่แพ้ก็อาจช็อคและหมดสติ               หลายปีผ่านไปองค์การอาหารและยายังคงลงไปตรวจอีกระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม – 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555ทั้งหมด 1987 ตัวอย่าง พบจำนวนตัวอย่างไม่ผ่านเกณฑ์ 69 ตัวอย่าง แบ่งเป็นตัวอย่างผลไม้ที่สุ่มตรวจจากตลาดสดที่ไม่ผ่านเกณฑ์ 60 ตัวอย่าง พบผักสดที่มีสารพิษตกค้างมากที่สุด ได้แก่ 1. คะน้า 2. กะหล่ำดอก 3. ต้นหอม               ในขณะที่ยังพบผักผลไม้ที่สุ่มตรวจจากซุปเปอร์มาร์เก็ตไม่ผ่านเกณฑ์จำนวน 9 ตัวอย่าง พบผักสดที่มีสารพิษตกค้างมากที่สุด คือ 1.คะน้า 2. มะเขือพวง 3. พริกไทย               ซึ่งผลสำรวจในรอบหลายปีที่ผ่านมาไม่ว่าจากองค์การอาหารและยา หรือจากองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคตรงกันคือ พบสารพิษในผักคะน้ามากที่สุดอย่างไม่เปลี่ยนแปลง               ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ.2553 ผศ.ดร.พรรัตน์ สินชัยพานิช นักวิจัยสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยสำรวจอาหารปนเปื้อนที่เกินมาตรฐานความปลอดภัยในเขต 8 จังหวัด ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2552-เมษายน2553 พบข้อมูลที่น่าสนใจหลายประการ ดังนี้               นมโรงเรียนชนิดพาสเจอร์ไรซ์มีปริมาณแบคทีเรียรวมเกินมาตรฐาน 25% นมชนิดยูเอ็ชทีเกิน 5%              ไส้กรอก ทั้งหมู ไก่และกุนเชียงมีสารกันบูดกว่า 36 %
      
       ในลูกชิ้นหมู ไก่และปลาพบการใช้สารกันบูดถึง 100% และการใช้ดินประสิวในระดับไม่ปลอดภัย 26%
      
       ผักผลไม้ 58 % พบการปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้าง โดยในสาลี่ ลูกพลับสด ส้ม องุ่นและถั่วฝักยาว พบมากถึง 78%
      
       แอปเปิล บร็คคเคอรี่ ดอกกะหล่ำ กะกล่ำปลีและแตงโมเกินมาตรฐาน 25 %-50%
      
       เห็ดหูหนูขาว พบสารเคมีกำจัดแมลงเกินมาตรฐาน 9% และสารฟอกขาว 56% สาหร่ายแกงจืด 36%
      
       กุ้งแห้งและปลาหมึกแห้งพบการปนเปื้อนเคมีกำจัดศัตรูพืช 64% และ 62 % ตามลำดับ
      
       โดยเฉพาะอย่างยิ่งพริกขี้หนูป่นพบสารเคมีกำจัดแมลง 100 % !!!!
      
       ก๋วยเตี๋ยวก็พบสารกันบูดเช่นกัน โดยเส้นใหญ่ พบ 88% เส้นเล็ก 75% เส้นหมี่ขาวและบะหมี่ 40% และ 50% 
              ในลูกชิ้นหมู ไก่และปลาพบการใช้สารกันบูดถึง 100% และการใช้ดินประสิวในระดับไม่ปลอดภัย 26%              ผักผลไม้ 58 % พบการปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชตกค้าง โดยในสาลี่ ลูกพลับสด ส้ม องุ่นและถั่วฝักยาว พบมากถึง 78%              แอปเปิล บร็คคเคอรี่ ดอกกะหล่ำ กะกล่ำปลีและแตงโมเกินมาตรฐาน 25 %-50%              เห็ดหูหนูขาว พบสารเคมีกำจัดแมลงเกินมาตรฐาน 9% และสารฟอกขาว 56% สาหร่ายแกงจืด 36%              กุ้งแห้งและปลาหมึกแห้งพบการปนเปื้อนเคมีกำจัดศัตรูพืช 64% และ 62 % ตามลำดับ              โดยเฉพาะอย่างยิ่งพริกขี้หนูป่นพบสารเคมีกำจัดแมลง 100 % !!!!              ก๋วยเตี๋ยวก็พบสารกันบูดเช่นกัน โดยเส้นใหญ่ พบ 88% เส้นเล็ก 75% เส้นหมี่ขาวและบะหมี่ 40% และ 50% ตามลำดับ อาหารกินเล่นอย่างสาหร่ายอบกรอบปรุงรส พบราพิษอะฟลาท็อกซิน 8%
      
       ในขณะที่ รศ.ดร.นวลศรี รักอริยะธรรม ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้สุ่มตรวจตัวอย่างอาหารที่นำเข้าจากต่างประเทศพบว่า
      
       อาหารสทะเลสดนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านพบการปนเปื้อนฟอร์มาลีน 67% และโลหาหนักสารหนู 4% ขณะที่ผักผลไม้ ปนเปื้อนสารเคมีกำจัดแมลง 36% สารฟอกขาวในผักแห้ง 47% สารตะกั่วในสาหร่ายและเยื่อไผ่ 8% และยังพบปรอทในก้านเห็ดหอม หน่อไม้แห้ง เห็ดหอม 17% และเยื่อไผ่ 12% ในขณะที่ขนมพร้อมบริโภคลูกอมและเยลลี่ พบสีสังเคราะห์เกินมาตรฐาน 20%
              ในขณะที่ รศ.ดร.นวลศรี รักอริยะธรรม ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้สุ่มตรวจตัวอย่างอาหารที่นำเข้าจากต่างประเทศพบว่า              อาหารสทะเลสดนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านพบการปนเปื้อนฟอร์มาลีน 67% และโลหาหนักสารหนู 4% ขณะที่ผักผลไม้ ปนเปื้อนสารเคมีกำจัดแมลง 36% สารฟอกขาวในผักแห้ง 47% สารตะกั่วในสาหร่ายและเยื่อไผ่ 8% และยังพบปรอทในก้านเห็ดหอม หน่อไม้แห้ง เห็ดหอม 17% และเยื่อไผ่ 12% ในขณะที่ขนมพร้อมบริโภคลูกอมและเยลลี่ พบสีสังเคราะห์เกินมาตรฐาน 20%      
        นอกจากนี้เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2554 ในการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์การแพทย์ครั้งที่ 19 น.ส.ประภาพรรณ พรหมหิรัญกุล นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 13 แห่งทั่วประเทศ ได้นำเสนอการประเมินความเสี่ยง ต่อการได้รับวัตถุกันเสียและจุลินทรีย์จากการบริโภคผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ทั่วประเทศ พบข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้               จาการตรวจทั้งหมด 837 ตัวอย่าง พบมีการใช้วัตถุกันเสีย ชนิดกรดเบนโซอิก กรดซอร์บิก และกรดโปรปิโอนิก รวมทั้งสิ้น 658 ตัวอย่าง (คิดเป็น 78.61%) โดยเบเกอรี่ที่ตรวจพบเกินมาตรฐานได้แก่ โดนัท, เอแคลร์, เค้กกล้วยหอม, เค้กโรล และเค้กหน้าคัสตาร์ด, เค้กมีหน้า,ขนมปังสอดไส้, เค้กไม่มีหน้า, ซอฟท์เค้ก,ขนมปังแถว, เวเฟอร์, แซนวิช, คุกกี้, พิซซ่า, พัฟพาย,ครัวซองท์ เป็นต้น       
        13 กันยายน พ.ศ. 2553 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสถาบันการศึกษา 3 แห่ง ได้ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างผลไม้รถเข็นจากแหล่งจำหน่าย 38 ร้านในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ผลปรากฏว่า ผลไม้ 153 ตัวอย่าง มีการปนเปื้อนของแบคทีเรียโคลิฟอร์มหรือเชื้อจุลินทรีย์เกินกว่ามาตรฐานกำหนดสูงถึง 67.3% พบการปนเปื้อนหรือเจือปนของสารเคมีและปนเปื้อนของสารกันรา ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายสูงถึง 64.2% พบการปนเปื้อนของสารกันรา (ซาลิซิลิค) 40.7% และยังพบการปนเปื้อนของสีสังเคราะห์ถึง 16.3%               เพราะความไม่มีคุณธรรมของทั้งข้าราชการ นักการเมือง และพ่อค้า ใครจะเชื่อได้ว่าแม้วันนี้มีถึงขั้นปลอมผักปลอดสารพิษมาย้อมแมวขาย โดยใช้ทรายร้อนจัดสาดลงไปในแปลงปลูกผักเพื่อใช้ทรายร้อนจัดโดนใบผัก ก็จะทะลุเหมือนถูกแมลงกัดเจาะ แต่แท้จริงแล้วผักเหล่านั้นใช้สารเคมีพ่น เพื่อฆ่าแมลง และทำให้ประชาชนยังไม่สามารถไว้วางใจได้ว่าสินค้าที่ได้รับการรับรองคุณภาพว่าปลอดสารพิษที่คนไทยรับประทานกันอยู่ทุกวันนี้ จะมีการวิ่งเต้นทั้งๆที่เป็นภัยต่อคนไทยหรือไม่?               ประชาชนคนไทยไม่สามารถรู้ได้ว่าอาหารอะไรเป็นพิษหรือไม่ เพราะไม่มีชุดเครื่องมือตรวจวัดด้วยตัวเอง ขาดความรู้ และการลงสำรวจแต่ละครั้งของภาครัฐก็หาได้มีมาตรการเด็ดขาดเพื่อไม่ให้มีสารพิษในการบริโภคของคนไทยไม่ ทำให้ทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้นนี้กำลังจะผ่านหายไปโดยที่ประชาชนก็จะลืมเลือนในท้ายที่สุด และกลายเป็นอาหารอันโอชะของนักการเมืองและข้าราชการในการเรียกพ่อค้านายทุนสามานย์มาเคาะกะลาเรียกผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองต่อไป              ใครจะเชื่อว่าความคิดและสำนึกของคนไทยส่วนใหญ่ที่ยอมรับได้กับการโกงแต่ขอให้ฉันได้ด้วย กำลังเป็นสาเหตุสำคัญคนไทยเป็นโรคร้ายและเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นทุกวัน !!! 


ข้อมูลจาก http://manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9550000113548

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More